8 ไอเดียบรอดแคสต์ เจาะกลุ่มลูกค้าตรงเป้า เพิ่มยอดขายให้กระฉูด

ปัจจุบันบรอดแคสต์ (Broadcast) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่หลายธุรกิจใช้เพื่อนำส่งข้อความไปยังลูกค้าจำนวนมากพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ด้วยจุดเด่นที่ช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน รวมถึงแบรนด์ยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผลตอบรับเพื่อพัฒนาแบรนด์ในอนาคตได้อีกด้วย

แน่นอนว่าการบรอดแคสต์นั้นจะต้องมีค่าใช้จ่าย แบรนด์จึงต้องคำนึงถึงผลตอบรับของการบรอดแคสต์ในแต่ละครั้งด้วยว่าทำไปแล้วจะเกิดยอดขายหรือไม่ เพราะฉะนั้นการบรอดแคสต์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นที่เรื่องสำคัญ

อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนก็คงพอรู้แล้วว่าการบรอดแคสต์จะช่วยเราประหยัดแรงและเพิ่มยอดขายให้แบรนด์ได้แต่คำถามคือ หากแบรนด์จะใช้บรอดแคสต์เจาะกลุ่มลูกค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มยอดขายต้องทำอย่างไรบ้าง?

วันนี้ BUZZEBEES ได้ทำการรวบรวม 8 ไอเดียการทำบรอดแคสต์ดี ๆ มาแนะนำ สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่รู้จะเริ่มต้นบรอดแคสต์ไปหาลูกค้าอย่างไร มาฝากกัน.

1. แค่จัดโปรโมชันวันเกิด ก็สร้าง Brand Loyalty ได้

การจัดโปรโมชันวันเกิดให้กับลูกค้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีง่าย ๆ ในการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า แต่สามารถสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความอวยพรวันเกิด พร้อมส่วนลดหรือของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ร้านขายเบเกอรีอาจให้ส่วนลด 10% หรือ ฟรี! คุกกี้ 1 กล่อง สำหรับลูกค้าที่เกิดเดือนนี้

เมื่อลูกค้าได้รับข้อความหรือสิทธิประโยชน์พิเศษจากทางแบรนด์ สิ่งนี้สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจและรู้สึกเป็นคนสำคัญในทันที ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้แบรนด์รักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้ และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับพวกเขานั่นเอง

2. เพิ่มยอดขายจากลูกค้าประจำ ด้วยการให้ลูกค้าลองสินค้าที่ไม่เคยซื้อ

วิธีนี้เรียกว่า กลยุทธ์ Cross-Selling เป็นการแนะนำสินค้าหรือบริการเสริมอื่น ๆ ในร้านให้กับลูกค้าประจำที่ชื่นชอบสินค้าของร้านอยู่แล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้ลองสินค้าใหม่ ๆ ของร้าน โดยที่เราไม่ต้องลดราคาสินค้าเดิมที่ลูกค้ากลุ่มนั้น ๆ ชอบซื้อ

ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ และสร้างความแปลกใหม่ไม่จำเจให้กับลูกค้าได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีศึกษาของร้าน Easy Veggie ที่มีการนำข้อมูลหลังบ้านมาคัดกลุ่มลูกค้า และบรอดแคสต์โปรโมชั่นเมนูใหม่ให้ลูกค้าประจำได้ลองชิม จนมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 300,000 ต่อเดือน ด้วยฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ 200 คนเท่านั้น

ถ้าใครอยากรู้ว่าร้าน Easy Veggie ต่อยอดข้อมูลระบบหลังบ้านยังไง ให้ยอดขายสูงขึ้นถึง 300,000 บาทต่อเดือน สามารถอ่านบทความเต็มได้ที่นี่ https://youtu.be/P3SUot-tKE0?si=EoA1_PKWQuO02Rl-

3. ขายสินค้าที่ใช้ร่วมกัน ช่วยเพิ่มยอดซื้อต่อบิลสูงขึ้น

การขายแบบนี้ถูกเรียกว่า กลยุทธ์ Upselling เป็นการเสนอสินค้าหรือบริการเสริมที่มีความเกี่ยวเนื่องกันกับสินค้าหลักให้กับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้นนั่นเอง เช่น ร้านเครื่องสำอางนำเสนอแปรงทาปากรุ่นใหม่ หรือสครับปากที่ช่วยให้ทาลิปสติกสวยขึ้น ให้กับลูกค้าที่เคยซื้อลิปสติกไปแล้ว

ซึ่งการใช้กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ลูกค้าได้สินค้าเสริมที่ตอบโจทย์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มมูลค่าใบเสร็จหรือเพิ่มยอดการซื้อครั้งนั้น ๆ ให้กับร้านด้วย

4. จัดโปรสินค้ามีตำหนิ ให้ลูกค้าประจำที่มีกำลังซื้อน้อย

โดยการส่งข้อความเสนอสินค้าราคาพิเศษที่มีตำหนิเล็กน้อย ไปยังกลุ่มลูกค้าประจำที่ชื่นชอบแบรนด์ แต่มีกำลังซื้อน้อยหรือยอดซื้อไม่สูงมากนัก โดยเราจะส่งข้อความโปรโมชันไปหาเฉพาะลูกค้าประจำกลุ่มนี้

ที่สำคัญคือต้องระวังไม่ส่งข้อเสนอหรือโปรโมชันดังกล่าวไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นขาประจำอยู่แล้ว รู้สึกว่าแบรนด์เราขายของไม่ดีและเกิดเป็นความรู้สึกลบ กับแบรนด์

ซึ่งการนำกลยุทธ์นี้มาใช้ก็เป็นวิธีหนึ่งในการบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์ด้วย

5. เสนอสินค้าใหม่เรียกความสนใจ จนลูกค้าที่เพิ่งซื้อของไปต้องกลับมาซื้อเพิ่ม

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งทำการสั่งซื้อสินค้าหรือใช้บริการของแบรนด์ไป การที่จะกระตุ้นให้ลูกค้ากลุ่มนี้ซื้อเพิ่มและกลับมาซื้อซ้ำไม่ใช่เรื่องง่าย แบรนด์ควรสื่อสารถึงลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยข้อความที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างมาก เช่น สินค้าใหม่ โปรโมชันพิเศษ หรือการจัดแพ็คสุดคุ้มรูปแบบต่าง ๆ

ยกตัวอย่าง ร้านขายกาแฟที่บรอดแคสต์แนะนำให้ลูกค้าใหม่ลองชิมกาแฟสายพันธุ์ใหม่ เมนูใหม่ประจำเดือน หรือจัดเซตเบเกอรี่และกาแฟเป็นเมนูที่ขายเฉพาะช่วงเช้าให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ได้

การบรอดแคสต์หาลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยสินค้าใหม่ ๆ หรือสินค้าที่เกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้าเพิ่งซื้อไป จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวแบรนด์มากยิ่งขึ้น และทำให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อสินค้าของเราซ้ำ

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ความสนใจของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์อยู่ในระดับสูง จึงเป็น Timing หรือจังหวะที่ดีในการสร้างความประทับใจ และพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้ต่อไปในระยะยาว

6. แจกส่วนลด เรียกลูกค้าที่หายไปกลับคืนมา

สำหรับลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากแบรนด์มาก่อน แต่ไม่ได้ซื้อหรือใช้บริการกับเรามาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว การส่งโปรโมชันพิเศษ เช่น ส่วนลด ของแถม ของรางวัลหรือสิทธิพิเศษ เพื่อจูงใจให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีกครั้ง ก็เป็นอีกกลยุทธ์การตลาดที่ได้ผลไม่น้อย

เช่น ร้านทำผม อาจให้ส่วนลด 20% หรือฟรีบริการนวด เป็นโปรโมชันเฉพาะสำหรับลูกค้าที่ขาดการซื้อหรือใช้บริการมาสักระยะหนึ่ง เพื่อต้อนรับการกลับมาของลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งโปรโมชันเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเดิมกลับมาซื้อหรือใช้บริการมากขึ้น

เนื่องจากพวกเขาเคยมีประสบการณ์และรู้จักแบรนด์มาก่อน การนำเสนอโปรโมชันที่ถูกใจ เช่น สินค้าหรือบริการเดิมที่ลูกค้าเคยชอบ ก็สามารถเพิ่มโอกาสที่ลูกค้ากลุ่มนี้จะกลับมาใช้บริการอีกครั้งได้ง่ายกว่าการหาลูกค้ารายใหม่

7. เสิร์ฟความพรีเมียม ดึงดูดลูกค้ากำลังซื้อสูงให้รักแบรนด์

ในส่วนของลูกค้าประจำที่ซื้อสินค้าบ่อยหรือมียอดสั่งซื้อสูง กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลักให้กับแบรนด์ การบรอดแคสต์เสนอสินค้าและบริการที่พรีเมียมมากขึ้น หรือการจัดเซตสินค้าขนาดใหญ่ขึ้น จะช่วยทำให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ของเราให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ

เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงมีโอกาสที่พวกเขาจะสนใจสินค้าระดับบนหรือแพ็คเกจขนาดใหญ่นั่นเอง เมื่อลูกค้าเห็นว่าแบรนด์มีความตั้งใจรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ก็จะเกิดความรู้สึกดี จนทำให้ลูกค้ารักและภักดีต่อแบรนด์ และมีแนวโน้มที่จะบอกต่อแบรนด์ของเราไปยังคนรู้จักด้วย

ซึ่งเทคนิคที่หลายแบรนด์นิยมใช้ เช่น การให้ส่วนลดหรือสิทธิพิเศษ การจัดโปรแกรมสะสมคะแนน การให้บริการส่วนตัวที่พรีเมียมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การสะสมดาวจากยอดการใช้จ่ายของ Starbucks เพื่อแลกเครื่องดื่ม และอัปเกรดสถานะสมาชิก เพื่อรับสิทธิพิเศษที่เหนือชั้นและพรีเมียมกว่า

8. แจกโปรพิเศษที่คุ้มค่า กระตุ้นให้ลูกค้าอยากเป็น Top Spender

สำหรับกลุ่มลูกค้า Top Spenders เป็นกลุ่มลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายกับแบรนด์มากที่สุดหรือสูงสุด และถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงสุด แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็มีมูลค่ามหาศาล

ดังนั้นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ส่งให้กับลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ส่งโปรโมชันลดราคาพิเศษหรือสิทธิประโยชน์ที่พิเศษและคุ้มค่ามาก ๆ ให้เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มียอดซื้อสูงสุดในแต่ละเดือน หรือประกาศกิจกรรมส่วนลดหรือของรางวัลพิเศษสำหรับ Top Spender เดือนนี้ ตั้งแต่วันแรกของเดือน

เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากเป็น Top Spender ของเดือนนั้น และมีแรงจูงใจให้ซื้อสินค้ามากขึ้น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์

◾การบรอดแคสต์ตามกลุ่มต่าง ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าแบรนด์ไม่มีข้อมูลว่าลูกค้าคนไหนพฤติกรรมเป็นอย่างไร ซึ่งการที่จะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้จำเป็นต้องนำระบบ CRM เข้ามาช่วยในการเก็บข้อมูลและแบ่งกลุ่ม เพื่อที่แบรนด์จะสามารถนำข้อมูลส่วนนี้ไปต่อยอดในการทำบรอดแคสต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งการบรอดแคสต์ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายและความเติบโตให้กับธุรกิจแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า จนเกิดความผูกพันและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นและยั่งยืนสำหรับธุรกิจในอนาคตอีกด้วย