โควิด-19 ระลอกใหม่ คนไทยมีความสุขน้อยลง 75%

กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาตัวเลขผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสในประเทศไทย นับว่ามีจำนวนไม่สูงนักเมื่อเทียบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอีกครั้งกับการระบาดระลอกใหม่ในช่วงปลายปี 2563 ทำให้มีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในประเทศที่เข้มข้นอีกครั้ง

ประเทศไทยดำเนินการอย่างรวดเร็วในการรับมือกับโควิด-19 และขณะนี้ได้เห็นการผ่อนปรนมาตรการป้องกันและควบคุมโรคต่าง ๆ เนื่องจากการระบาดของโรคมีแนวโน้มลดลง ไม่น่าแปลกใจที่ความเชื่อมั่นของคนไทยในเดือนมกราคมอยู่ในระดับต่ำและต่ำกว่าที่ได้เผชิญกับโควิด-19 ในระลอกแรก ผู้คนต่างคาดหวังว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นในปีใหม่ แต่เมื่อการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม กลับเหมือนจะลดทอนการมองโลกในแง่ดีที่พวกเขาหวังไว้กับปีใหม่ลงไปอีก

โดยการวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของคนไทยเป็นมาตรการสำคัญที่บ่งบอกว่าประเทศและประชาชนมีความแข็งแกร่งเพียงใด สาเหตุที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีความสำคัญนั้นเป็นเพราะว่า การบริโภคในครัวเรือนที่คนไทยใช้จ่ายไปกับสินค้าและบริการ เช่น อาหาร รถยนต์ ไปจนถึงการดูแลตัวเองมากน้อยแค่ไหนนั้นจะส่งผลต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุผลดังกล่าว มาร์เก็ตบัซซจึงให้ความสำคัญในการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้โอกาสในการขายและการคาดการณ์ของดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ มาร์เก็ตบัซซและไวตามินคอนซัลติ้ง จึงได้ทำการสำรวจความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19 ในช่วงมกราคม 2564 ซึ่งครอบคลุมหัวข้อที่สำคัญต่าง ๆ โดยได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างคนไทยทั่วประเทศ จำนวน 1,600 คน

ผลการสำรวจ พบว่าความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อสถานการณ์เป็นบวกลดลง โดยในเดือนมกราคม 2564 คนไทยไม่มีความสุขในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ ถึงร้อยละ 75 สูงกว่าผลการสำรวจในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 ที่พบคนไทยไม่มีความสุขร้อยละ 71, 62 และ 51 ตามลำดับ

ซึ่งอยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ครั้งแรก และยังพบว่าในเดือนมกราคม 2564 ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายลดลง เห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากมาตรการป้องกันและควบคุมโรค รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย

ในช่วงของการใช้มาตรการป้องกันและควบคุมโรค ผลการศึกษาแรกนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า สินค้าบางประเภทที่ผู้บริโภคเคยมีการใช้จ่ายน้อย กลับเพิ่มมากขึ้น เช่น สินค้าทำความสะอาดบ้าน อาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว ผลิตภัณฑ์ยาและวิตามิน ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและการทำความสะอาดในครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น และใช้เวลาที่บ้านมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่กลุ่มสินค้าบางประเภทได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ส่งผลให้การจับจ่ายน้อยลงในช่วงเดือนมกราคม 2564 คือ การช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า, สินค้าแฟชั่น, การรับประทานบุฟเฟ่ต์และร้านอาหารนอกบ้าน อาหารดิบ เช่น ซูชิและสลัด กาแฟและชานม การซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ทีวี เครื่องปรับอากาศ หรือสินค้าฟุ่มเฟือย มีตัวเลขที่ลดลงเช่นเดียวกับอุปกรณ์กีฬา รวมถึงสินค้าประเภทแอลกอฮอลล์

มร.แกรนท์ เบอร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาร์เก็ตบัซซ จำกัด กล่าวว่า “นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจกับการวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพราะเป็นสิ่งที่สามารถนำไปคาดการณ์ดัชนีทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาข้อมูลของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในหนึ่งเดือนสามารถใช้ทำนายทุกอย่างได้ตั้งแต่อัตราการจ้างงานไปจนถึงการใช้จ่ายในหลายเดือนข้างหน้าเพื่อคาดการณ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น จากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง สินค้าบางประเภทมีตัวเลขการใช้จ่ายลดลงอย่างที่คาดการณ์ไว้ และใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเคยประสบจากการระบาดรอบแรก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคนไทยจะรับมืออย่างไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคตหรือไม่”

การเริ่มต้นของปีเหมือนเพิ่งจะผ่านไป การระบาดของโรคสร้างผลกระทบอย่างมากมายให้กับทุกๆ คน สิ่งสำคัญสำหรับประเทศคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และที่สำคัญยิ่งกว่าในปัจจุบันนี้คือ การจับตาดูพฤติกรรมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มในการสร้างความยั่งยืนและเอาชนะการระบาดของโรคนี้ไปด้วยต่อไป

ที่มา: https://www.thestorythailand.com/20/02/2021/14686/